วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

" ไม่รู้ " 2 คำ ทำให้ล้มเหลวได้

แค่ " ไม่รู้ " ว่า(ผู้มุ่งหวัง)ต้องการอะไร..ก็ล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย MLM 100% แน่นอน 99% ของนักธุรกิจเครือข่าย MLM นั้นรู้ว่าตัวเขานั้นต้องการอะไร? เขาทำ " ธุรกิจเครือข่าย MLM " ไปเพื่ออะไร? อะไรคือวิธีที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเครือข่าย MLM แม้การที่เรารู้ว่าเป้าหมายที่เราต้องการอะไรนั้นเป็นเหมือนการตั้งเข็มทิศที่ชี้ไปสู่ความสำเร็จ  แต่ทำไมถึงมีนักธุรกิจเครือข่าย MLM ไม่ถึง 1% ของคนที่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรเท่านั้นที่ กลายเป็นนักธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ ประสบความสำเร็จถ้าคุณสงสัยว่าเขาเก่งกว่าคุณ หรือรู้อะไรที่แตกต่างจากนักธุรกิจเครือข่าย MLM อีกหลายหมื่นหลายแสนคนในประเทศไทยหรือเปล่า? ดิฉันขอบอกว่ามันไม่ใช่เลย หลังจากที่ดิฉันได้เรียนรู้วิชาการตลาดเครือข่าย MLM จากโค้ชผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดเครือข่าย MLM ออฟไลน์และการตลาดออนไลน์ทั้งหมดนั้นทำให้ดิฉันได้รู้ว่า เขาเหล่านั้นใช้แค่หลักการพื้นฐานง่ายๆ เรื่องการตลาดที่ว่า เราต้องรู้ลูกค้า(ผู้มุ่งหวัง)ของเราต้องการอะไร คุณอาจะมีข้อกังขาหรือ ข้อโต้แย้งว่า ไม่เห็นจำเป็นเลย? กับการต้องรู้ว่าผู้มุ่งหวังต้องการอะไร ฉันมีสินค้าคุณภาพดี (ที่มีราคาสูง), มีโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่ขายตัวมันเองได้อยู่แล้ว แค่อาศัยวิธีการพรีเซนต์สินค้าที่ยอดเยี่ยม, โชว์แผนรายได้ที่จ่ายค่าคอมมิชชั่นสูงๆ และอาศัยเทคนิคการปิดการขายที่ยอดเยี่ยมก็พอแล้ว ถ้าคุณกำลังคิด หรือกำลังทำอย่างตัวอย่างที่ยกมานี้ ดิฉันขอเตือนว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่หนทางแห่ง
  • การถูกปฏิเสธ
  • การวิ่งไล่ตามหาลูกค้า(ผู้มุ่งหวัง) ที่ไม่ต้องการซื้อสินค้า
  • ความเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดหาเงินมารักษายอดทุกเดือน
  • หรือถึงแม้จะสปอนเซอร์ผู้มุ่งหวังได้แต่ก็ได้แต่พวกที่ไม่มีคุณภาพ และอยู่ไม่ยืด
และยังปัญหาอีกมากมายหลายสิบข้อที่จะเกิดขึ้น ถ้าคนที่คุณจะไปขายสินค้า หรือโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม นั้นเขาไม่ต้องการสิ่งที่คุณนำเสนอหล่ะ ถ้าคุณยังเห็นภาพไม่ชัดว่าการที่เราไม่รู้ว่าผู้มุ่งหวังของเราต้องการอะไร นั้นสำคัญอย่างไร ดิฉันขอยกตัวอย่างสัก 1-2 ข้อ เพื่อให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณพยายามขายเนื้อมัตสึซากะ หรือเนื้อปลาซัลมอน ชั้นเยี่ยมให้กับครอบครัวที่กิน มังสวิรัติ แม้จะขายด้วยราคาถูกสุดๆ หรือแม้ให้ฟรีก็ตาม? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณขายวิธีสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย กับคนที่ไม่ต้องการความร่ำรวย? คุณมีโอกาสที่จะโดนปฏิเสธมากถึง 99% นักธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ประสบความสำเร็จต้องรู้ว่า ผู้มุ่งหวังต้องการอะไร ดิฉันเชื่อว่าคุณพอจะเข้าใจแล้วว่าการ แค่ไม่รู้ว่าผู้มุ่งหวังต้องการอะไร? ” นั้นจะเป็นสาเหตุที่ทำคุณล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย MLM ได้ เพราะถ้าคุณเข้าใจหลักในการทำ " ธุรกิจเครือข่าย MLM " ผิดตั้งแต่แรกแล้ว คุณก็จะทำการตลาดแบบผิดๆ ต่อมา โดยไม่คำนึงถึงความต้องการอย่างแท้จริงของผู้มุ่งหวังกับลูกค้าอีกต่อไป คุณไม่มีวันจะสร้างรายได้จากสินค้า และโอกาสทางธุรกิจของคุณได้เลย ถ้าคุณไม่อยากล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย MLM เหมือนแบบนักธุรกิจเครือข่าย MLM ผู้ล้มเหลวทั่วไป 99% แล้ว คุณต้องเริ่มวิเคราะห์ว่า
1) ใครคือ ผู้มุ่งหวังที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้?
2) ผู้มุ่งหวังเหล่านั้นต้องการอะไร?
3) ฝึกวางแผนการตลาดของคุณให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มุ่งหวัง

เมื่อคุณรู้แล้ว ทำได้จนครบ คำว่า " ไม่รู้ " ที่เคยเกิดขึ้น...ก็หายไป ทีนี้ความสำเร็จก็รอคุณอยู่ข้างหน้า เพื่อให้คุณหยิบมาชื่นชมอย่างน่าภูมิใจ สนใจอยากทำธุรกิจ โทรมาคุยกันได้เสมอนะ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความจริงใจ ทำให้ MLM รวยได้(จริง)

" ความจริงใจ " ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญ.. หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยรีบวางสายจากใครสักคน หรือว่าฟังใครสักคนพูดถึงอะไรสักอย่างที่คุณฟังจนหลุดโลกออกไปเลยคือ ฟังจนเหนื่อย ฟังจนเบื่อ ฟังจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าพูดเรื่องอะไรกันแน่ เพราะเอาแต่พูดไม่สนใจคนฟัง หรือบางทีคุณอาจเคยรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ตื่นเต้นกับสิ่งที่ใครสักคนกำลังเล่าให้ฟัง ดีใจว่าเราได้เจอของดีแล้ว และที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นหล่ะ เป็นความรู้สึกที่คุณจะได้สัมผัสเมื่อคุณรู้จักกับธุรกิจเครือข่าย MLM โดยไม่มีความจริงใจใส่อยู่ ทำให้ต้องกลับมาคิดว่า เพราะผลประโยชน์หรือไม่

ธุรกิจเครือข่าย MLM กับคำบรรยายสรรพคุณสินค้า และธุรกิจที่ดีมาแรงให้ค่าตอบแทนหลายล้าน ทำง่ายไม่ได้ยากอย่างที่คิด คำพูดสวยหรูดูดีที่คุณฟังแล้ว อาจจะเริ่มคล้อยตามจากนั้นคุณก็จะสมัครทำธุรกิจเครือข่าย MLM เมื่อสมัครแล้วคุณก็จะได้สินค้า จากนั้นอัพไลน์ (คือคนที่ชวนคุณมาสมัครต่อจากเขา) ก็จะชวนคุณเข้าระบบหมายถึง ชวนคุณมานั่งฟังบรรยายวิธีการที่จะสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย MLM วิธีการที่จะพูดกับผู้มุ่งหวัง (ก็คือคนที่คุณจะชวนเขาเข้ามาทำธุรกิจกับคุณนั่นแหละ) หัวข้อในการบรรยายยกตัวอย่างเช่น วิธีหาผู้มุ่งหวัง 90 คนในหนึ่งเดือน สิ้นเดือนรับแสนนึงทันที เป็นต้น วิทยากรผู้บรรยายอาจจะบอกคุณว่า วิธีการง่ายมาก จากสถิติคนที่คุณคุยด้วย 30 คนจะมีคนที่ตอบรับคุณ 1 คน คุณเดินออกไปคุยกับคนให้ได้ 90 คนในหนึ่งวัน วันนั้นเท่ากับว่าคุณได้สมาชิกมาร่วมทำธุรกิจ 3 คน ทำแบบนี้ได้หนึ่งเดือนสิ้นเดือนรับทันทีเงิน 1 แสนบาท ช่วงที่คุณฟังอยู่คุณจะรู้สึกว่ามีพลัง มีไฟ กระตุ้นความรู้สึกให้อยากทำมาก อยากจะออกไปหาสมาชิกแล้วอยากจะไปพูดคุยชักชวนคนอื่นมาเพื่อเงินแสนตอนสิ้นเดือน หรือหัวข้อการบรรยายเป็นสรรพคุณสินค้าที่คุณต้องออกไปบอกเล่าเรื่องราวของความมหัศจรรย์ สมมุติว่าเป็นสินค้าบำรุงสุขภาพ วิทยากรก็จะเล่าว่า ก่อนกินเป็นยังไง หลังกินเข้าไปแล้วเปลี่ยนแปลงมาก เช่น น้ำหนักลด ดิฉันกินวันนึง 3-4 ซอง (ถ้าขายเป็นซอง ถ้าขายเป็นขวดก็จะบอกว่าหลายขวด) เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน และถ้าไปทานอย่างอื่นข้างนอกก็กินเพิ่มอีก น้ำหนักดิฉันไม่ขึ้นเลยแถมน้ำหนักยังลดลงด้วย ผิวพรรณก็ดี จากนั้นอ้างถึงคนอื่นที่กิน เรื่องพวกนี้เมื่อคุณฟังอยู่ในห้องบรรยายจะดูเป็นเรื่องจริงโดยที่เรายังไม่ได้หาสาเหตุ หรือไปสืบดูว่าเลยจริงหรือไม่ ทั้งเรื่องหาคนทำธุรกิจด้วย และสรรพคุณอาจจะดีอาจจะจริงแต่จะเท่าที่วิทยากรพูดหรือเปล่า เมื่อคุณออกไปทำจริงๆเรื่องจริงที่ทำได้กับวิธีการมันอาจจะเป็นคนละเรื่องก็ได้ คุณจะสามารถไปคุยกับคนแปลกหน้าที่คุณไม่รู้จัก 100 คนต่อวันได้ไหม เมื่อออกมาแล้วพิจารณาถึงสิ่งที่ได้ฟัง บางคนรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่า และบ้ามากที่คิดว่าจะทำแบบนั้นได้

ธุรกิจเครือข่าย MLM บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้จิตวิทยาในการเข้าหาคน แต่สิ่งที่จะช่วยประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนโดยที่คนอื่นจะไม่มานั่งตำหนิ หรือต่อว่าคุณทีหลังคือ การพูดเรื่องธุรกิจเครือข่าย MLM ที่คุณทำอยู่ด้วยความจริงใจ การบอกสรรพคุณของสินค้าที่ดี สินค้าสามารถทำรายได้ให้กับตัวเรามากแค่ไหน วิธีการขายอย่างไรรวยเร็ว ควบคู่ไปกับการใช้สินค้าไปเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ออกไปทำธุรกิจ โดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาว่าจะเป็นอย่างไร โปรดคำนึงด้วย..เมื่อคุณเริ่มต้นทำธุรกิจเครือข่าย MLM ขอให้มีความตั้งใจเรียนรู้รายละเอียดของธุรกิจก่อน อย่าเริ่มต้นทำด้วยความโลภแทนเลย เพราะในปัจจุบันมีหลายคนคงมีความสงสัยในจิตใจอยู่เป็นประจำเสมอว่าการทำธุรกิจเครือข่าย MLM นั้นสามารถทำให้เราร่ำรวยได้จริงหรือไหม? เพราะเรามักจะเห็นคนที่เคยทำธุรกิจเครือข่าย MLM มาก่อน ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า สามารถที่จะทำแล้วได้เงินจริง สามารถทำแล้วได้เงินมากกว่าการทำงานประจำหรืองานข้าราชการ ทำเพียงไม่กี่ปีก็สามารถที่จะมีบ้าน มีรถยนต์เป็นของตนเองได้แล้ว ซึ่งก็มีทั้งข้อมูลที่เป็นจริงและไม่เป็นจริง หลายคนคงเคยที่จะได้รับอีเมล์เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย หรือว่าการทำงานหารายได้พิเศษ ซึ่งมีให้เห็นเยอะมาก จนบ้างครั้งเราไม่สามารถที่จะแยกออกได้ว่าธุรกิจไหนที่ทำเงินให้กับเราได้จริงๆ บ้างคนหลงเชื่อถึงขนาดไปเข้าอบรมแล้วก็สมัครเป็นสมาชิก เสียเงินค่าสมาชิกแต่กลับไม่สามารถหาลูกค้าได้ จนบ้างครั้งเกิดความท้อแท้ และก็สูญเสียเงินค่าสมาชิกไปฟรี! แต่ธุรกิจเครือข่าย MLM ที่สามารถทำเงินได้จริงๆ ก็มีอยู่ไม่ใช่ว่าไม่มี บางคนที่เป็นผู้สำเร็จทำกันจนร่ำรวยมีรถยนต์ มีบ้าน มีเงินเก็บ แต่กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นจะต้องใช้ความพยายาม ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และความอดทนมากพอสมควรทีเดียว  สำหรับใครที่สนใจ หรืออยากจะเริ่มต้นชีวิตด้วยการทำธุรกิจเครือข่าย MLM สักแบบหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่าธุรกิจประเภทไหนที่เหมาะกับคุณ และสามารถทำเงินให้กับคุณได้ เพราะหากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน อาจจะต้องสูญเสียเงิน สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ก็ได้ เพราะมีผู้คนที่เห็นแก่ตัวคอยจ้องที่จะเอาเปรียบคนที่อยากจะทำธุรกิจเครือข่าย MLM กันค่อนข้างมาก

ดังนั้น ก่อนจะลงมือทำควรหาข้อมูลจากคนรู้จัก หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก่อนก็ได้ การทำธุรกิจเครือข่าย MLM สามารถที่จะทำเงิน และทำกำไรให้กับคุณได้ หากว่าคุณเลือกประเภทของธุรกิจได้เหมาะสมกับตัวคุณเอง แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นทำธุรกิจเครือข่าย MLM คุณจำเป็นที่จะหาข้อมูลเสียก่อนว่าธุรกิจไหนที่ดีจริง ธุรกิจไหนที่หลอกหลวง เพราะธุรกิจประเภทนี้มีให้เห็นมากเหลือเกิน มีทั้งทำเงินได้จริงกับทำเงินไม่ได้จริง เวลาฟังเสร็จดูเหมือนทำง่ายแต่ความจริงยากมาก มันทำให้เราแยกแยะได้ลำบาก (หากคุณไม่ศึกษาหาข้อมูลมาก่อนล่วงหน้า ก็ควรจะมีที่ปรึกษาตัวจริง) ซึ่งถ้าจะดีมากควรได้คนแนะนำ(อัพไลน์)...บริษัทที่นำเสนอ(เจ้าของกิจการ)...และทีมงานทั้งหมดที่มี ความจริงใจ ให้พร้อมระบบการทำงานอย่างเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ดิฉันคิดว่าถือเป็นโชคดีของคุณมากเลยทีเดียว เพราะนั่นหมายถึง คุณมีโอกาสในการทำธุรกิจ MLM นี้ให้ประสบความสำเร็จได้จนรวยจริง และไม่ใช่เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อยากรู้จัง...ความสำเร็จประกอบด้วยอะไรบ้าง ?

คนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตแวดวงต่างๆ มักจะเป็นบุคคลที่ต้องการมีการเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่เสมอ หากเพื่อนๆ นักธุรกิจ MLM ต้องการประสบความสำเร็จ เพื่อนๆ จึงต้องควรมีการเปลี่ยนแปลงตนเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อนๆ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตนเองในหลายๆ ด้าน สำหรับผู้ที่จะประสบความสำเร็จจะเป็นผู้มีคุณสมบัติประกอบไปด้วย เรื่องต่อไปนี้
1. เพื่อนๆ ต้องเป็นคนที่มี "เป้าหมายชัดเจน"
ควรเขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เขึยนเพื่อให้มีความจดจำ การวางเป้าหมายเป็นภาพต่างๆ แล้วติดตามโต๊ะทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำ ฯลฯ จะทำให้เราเกิดการจดจำได้มากกว่าการมีเป้าหมายแล้วไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

2. ตัองเป็นคนที่มีความสม่ำเสมอ
เมื่อมีการวางเป้าหมายแล้ว ต้องเป็นคนที่ทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสำคัญก็คือ จะต้องลงมือทำทันที ไม่ต้องรอช้า วางแผนแล้วลงมือทำทันที ไม่งั้นความสำเร็จก็จะไม่เกิด

3.ต้องเป็นคนที่ "ชอบเข้าใกล้ หรือชอบปรึกษาคนที่ประสบความสำเร็จ"
การเรียนรู้หรือการเรียนแบบจะทำให้ลดเวลาในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย 

4. ต้องเป็นคนที่ "ชอบการเปลี่ยนแปลง"
คนเรามักจะไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าด้วยการเปลี่ยนแปลง ต้องเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ ควรเป็นผู้ที่มีแนวความคิดในการเปลี่ยนแปลง มีความคิดในการพัฒนาตนเองอยู่่เสมอ

5. ต้องเป็นคนที่ "่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ"
เนื่องในปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จจะต้องเป็นนักเรียนรู้อยู่เสมอ สามารถนำข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ในงานอาชีพของตนเองได้

6. ต้องเป็นคนที่รู้จักใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ช่วย 
เนื่องจากเครื่องมือต่างๆ มีความสำคัญ ผู้ที่จะประสบความสำเร็จมักจะต้องรู้จักใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี อุปกรณ์ต่างๆเข้ามาช่วย การใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ จะเป็นการลดต้นทุน ลดเวลา ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการทำงาน

7. ต้องเป็นคนที่ "แตกต่าง"
หากจะต้องการเป็นคนประสบความสำเร็จแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป คนที่ประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน มักจะมีความคิดแตกต่างจากคนอื่น ทำอะไรๆ ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น การแต่งกาย ทรงผม บุคลิก การพูดจา ฯลฯ

8. ต้องเป็นคนที่ "เริ่มต้น"
หากเพื่อนๆ ไม่เริ่มต้น หรือเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ความสำเร็จก็คงยังไม่เกิดกับเพื่อนๆ แต่หากเพื่อนๆ ต้องการที่จะประสบความสำเร็จจงเริ่มต้นทำทันที ระยะทางถึงแม้จะำไกลแสนไกล หากเราไม่เริ่มต้นก้าวแรกก็จะไม่มีวันไปถึงเป้าหมายปลายทาง หากเพื่อนๆ จะต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ เพื่อนๆ ก็จะต้องตัดสินใจลงมือทำอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งต้องคอยควบคุมตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จ ดังเช่นคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้เพียงแต่เราไม่ได้ลงมือทำมัน

เพียง 8 ข้อนี้ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นทันทีกับคนที่นำไปปฏิบัติ ดิฉันเชื่อว่าไม่ยากเกินไป ขอให้รู้ ขอให้เข้าใจ ขอให้นำไปใช้จริง รับรองความสำเร็จจะอยุ่ในมือทันที ส่วนผลลัพธ์ก็เห็นได้อย่างแน่นอน

ความสำคัญของความรู้ MLM ที่ควรมีไว้ (ดีกว่า)

ความรู้นั้นสำคัญไฉน ? ความรู้คือ ทุกสิ่งที่สามารถทำให้เราเข้าใจ และถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้
ความเข้าใจคือ ความรู้ที่เราได้รับมาและสามารถนำไปใช้ได้
การมีความรู้ไม่ได้จำกัดแค่หลักฐานที่แสดงว่า เราเรียนจบชั้นไหน ปริญญากี่ใบ ส่วนตัวแล้ว ดิฉันคิดเห็นว่ามันเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าจะพูดกันถึงศักยภาพในการทำงานของแต่ละคน ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ด้วยเช่นกัน ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในแต่ละคน บางคนจบสูงมากๆ แต่ทำงานแล้วผลงานไม่เป็นที่ประจักษ์ รายได้ที่ได้ไม่พอเจือจุนครอบครัว ในทางกลับกัน คนบางคนไม่มีใบรับรองการศึกษาสูงๆ แต่สามารถทำงานหาเงิน เลี้ยงดูครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ คนเหล่านี้สิน่าทึ่ง

สังคมไทยให้ความสำคัญในเรื่องเกี่ยวกับความรู้อย่างมากจึงมีการออกใบรับรองเกี่ยวกับการศึกษามากมาย จนยึดติดกันเป็นค่านิยมในสังคมไปแล้ว แต่อย่าลืมนะค่ะว่า ใบรับรองเหล่านั้นไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ความเข้าใจ เป็นแค่เครื่องมือที่ทำให้คนที่มีชื่ออยู่บนใบนั้นๆ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ของตัวเองได้แค่นั้นเอง ไม่เช่นนั้นแล้วเวลาเราไปสมัครงาน ทำไมจึงต้องมีการสอบอีกที ? ทำไมต้องสอบสัมภาษณ์ ? จริงไหมค่ะ ดิฉันต้องการจะบอกว่าในเรื่องราวของการทำงาน การทำธุรกิจเครือข่าย MLM หรือไม่ว่าจะธุรกิจแขนงใดๆ ก็ต้องการคนมีความรู้ทั้งนั้น และเราไม่ควรให้ความคิดในแง่ลบบางประการมาบดบังการที่จะได้มาซึ่งความรู้ของเราเลยค่ะ ดิฉันมองในอีกแง่มุมหนึ่งว่า ทุกวันนี้เรามีการแข่งขันกันค่ะ เราแข่งกันว่าใครจะรู้มากกว่าใคร
1.เพื่อเอาตัวรอด
2.เพื่อเอาคนที่เรารักรอดไปด้วย
3.เพื่อให้เกิดคุณค่าขึ้นต่อสังคม 

ปกติเจ้าของธุรกิจเครือข่าย MLM ทุกคนมักจะแนวความคิดและวิสัยทัศน์ที่ดี ในการสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้จริงๆ จากการที่ดิฉันได้เข้ามาเป็นนักธุรกิจเครือข่าย MLM การเรียนรู้ทุกคอร์ส ทุกรอบประชุมผู้นำ หากใครได้เข้าไม่ใช่เป็นการเพิ่มพูนในส่วนของกำลังใจเพียงอย่างเดียว เพราะการเรียนรู้จะทำให้เรามีอาวุธทางปัญญา ออกสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ ดิฉันขอยืนยันค่ะว่า ทุกรอบการเรียนรู้ที่ผ่านมา เมื่อเข้าไปแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาคุ้มค่ามากๆ อยากให้เพื่อนๆ นักธุรกิจเข้าใจและให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มากๆ หากไม่มีเวลาก็เรียนผ่านสื่อออนไลน์ของดิฉันได้ค่ะ ขอให้แบ่งเวลาเพียงเล็กน้อยก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว สำหรับวงการธุรกิจเครือข่าย MLM ในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับไม่แพ้ต่างชาติอย่างแน่นอน คุณเคยสงสัยไหมค่ะว่า ทำไมอเมริกา ญี่ปุ่น เค้าจึงยอมรับธุรกิจเครือข่าย MLM มากกว่าบ้านเรา เพราะประเทศเขาเจริญกว่า? อาจจะจริงค่ะที่บ้านเค้าเจริญกว่าเรื่องการเปิดใจยอมรับ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่บ้านเราเป็นเพราะเจออะไรๆ ไม่ดีมาเยอะเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย เช่น การขายของ การยัดเยียด การตื๊อ ง้อ อ้อนวอน ขอร้อง ทั้งหลายทั้งปวง นั่นเป็นวิธีที่ผิด สร้างความเสียหายต่อความสวยงามของธุรกิจ MLM แนวนี้อย่างแรง ความรู้ ต่างหากที่เป็นทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ต้องใฝ่หา เพื่อให้เข้าใจ และไปถ่ายทอดต่อให้ถูกต้อง ส่งมอบความสำเร็จต่อๆ ไป

วันนี้ดิฉันก็ได้พิสูจน์แล้วกับแนวความคิด แนวทางใหม่นี้ ที่จะทำงานควบคู่กันไปทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยการให้ความสนใจนำวิธีการใหม่ๆ มาใช้กับธุรกิจ MLM โดยอาศัยความรู้จากการศึกษาทุกรูปแบบ เสริมต่อประยุกต์ให้เข้ากัน เพื่อสร้างประโยชน์ที่ดี และพร้อมฝึกฝนถ่ายทอดให้กลุ่มสมาชิก เพื่อนนักธุรกิจ MLM ที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ มาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ใครที่ยังไม่รู้ก็ขอให้เข้ามาเรียนรู้กันอย่างทั่วถึง ดิฉันหวังว่า ทุกๆ ความรู้ที่มอบให้เพื่อนนักธุรกิจ MLM ได้รู้ ขอให้นำไปใช้จริงจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต ต่อสังคม และคนรอบข้างของเราด้วยค่ะ แล้วทีนี้ความสำเร็จก็เป็นของคุณ

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

MLM ฟัง ก่อนย่อมได้เปรียบ..จริงๆ นะ

พอจะรู้กันไหมว่าคุณไม่เคยฉลาดขึ้นจากการพูด แต่คุณจะฉลาดขึ้นจากการฟัง อันนี้ได้มาจากหนังสือค่ะ ไม่ได้คิดเอง
เห็นด้วยหรือเปล่าค่ะว่า ยิ่งเมื่อเรา “คิดว่าเรารู้มาก” เราจะ “ยิ่งฟังน้อยลง” ลองสักเกตตัวเองดูนะว่า เมื่อตอนที่เราเริ่มทำงานประจำ หรือเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ เราอยากจะรู้ อยากจะเรียน อยากจะฟัง ข้อมูลต่างๆ อยากเรียนๆ อยากฟังๆ
จนถึงวันหนึ่ง เราก็เริ่มมีความคิดที่ว่า “รู้แล้ว ไม่ต้องเข้าเรียนหรอก” หรือ “ก็เดิมๆ เคยฟังแล้ว” และ อีก ฯลฯ
ปัญหานี้เกิดกับทุกคนค่ะ ไม่เว้นแม้แต่ดิฉันเอง ก็ต้องปรับสมดุลทางแนวคิดให้ดีนะ เพราะมันอันตรายจริงๆ เรื่องนี้ มันจะกระทบไปถึงการไม่พาตัวเองเข้าระบบการเรียนรู้ในธุรกิจ MLM ซึ่งอันนี้จะส่งผลไปที่ธุรกิจที่คุณทำในระบบ MLM ของคุณด้วย ก็ในเมื่อผู้นำยังไม่เข้าระบบเลย แล้วเราจะเข้าทำไม !” ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ควรเริ่มที่ตัวคุณเองก่อนค่ะ พาตัวเองเข้าไปรับฟังเสีย คิดแบบนี้ก็ได้ค่ะ
อะไรที่รู้อยู่แล้ว ก็ฟังเพื่อเน้นย้ำว่าเราเข้าใจถูก อะไรที่ยังไม่รู้ ก็จะได้รู้เพิ่มขึ้น” และถ้าจะให้สนุกหล่ะก้อ ลองใช้แนวคิดแบบ “ตัดปะ” ดูก็ได้…
แล้ว "ตัดปะ" มันเป็นยังไงหล่ะ ก็ง่ายๆ ค่ะ “ตัด” ความรู้ที่ได้รับมาแล้ว “ปะ” ลงไปให้เป็นความรู้แบบของเราไงค่ะ และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการฟัง เคยกินกาแฟร้าน Starbucks กันหรือเปล่า ถ้าเคย…
กาแฟที่ร้านนี้ รสชาดอร่อยกว่าที่ร้านอื่นหรือเปล่า? แล้วทำไมคุณถึงยอมกินกาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท?
สงสัยสินะค่ะว่า เรื่องการฟังมันเกี่ยวอะไรกับ Starbucks จริงๆ แล้ว Starbucks ไม่ได้ขายแค่กาแฟค่ะ เขาขายสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ทั้งบรรยากาศ ทั้งความเป็นกันเอง คุณจะรู้สึกคล้ายๆ อยู่บ้าน เอางานไปทำ สามารถนั่งได้ทั้งวัน มีหนังสือให้อ่าน พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส
ร่ายมาตั้งนาน คำตอบอยู่ตรงนี้ค่ะ “แล้ว Starbucks รู้ได้ไงว่า ลูกค้าต้องการอะไร” ก็ไม่ยากค่ะจากการฟังนั่นแหละค่ะ
เริ่มต้นร้าน Starbucks ไม่ได้มีบรรยากาศร้านแบบที่เราเห็นกันหรอก แค่ขายกาแฟ ขายกาแฟจริงๆ ค่ะ ไม่มีอะไรเลย แต่เพราะการฟังข้อเสนอแนะจากลูกค้า ฟังแล้วปรับปรุง ปรับปรุงแล้วก็ฟัง แล้วก็ปรับปรุงอีก จนสุดท้ายกลายเป็น Starbucks แบบที่เราๆ ท่านๆ เห็นนี่แหละค่ะ นึกออกหรือยังค่ะว่า ดิฉันต้องการจะบอกอะไร(ติ๊ก ต๊อก ติ๊ก ต๊อก…) ฟังให้มาก แล้วจะรู้ว่า เขาต้องการอะไร” เห็นด้วยหรือเปล่าค่ะ…
มันจะโยงไปที่ตอนที่คุณออกไปพบลูกค้า ทราบหรือเปล่าค่ะว่า เรามุ่งมั่นที่จะพูดมากกว่าที่จะฟัง จนทำให้เราไม่รู้ความต้องการจริงๆ ของลูกค้า ลองปรับวิธีการดูนะ ฟังให้มาก ฟังให้รู้ว่า จริงๆ แล้วผู้มุ่งหวังเขาต้องการอะไรจากธุรกิจ MLM นี้ ต่อจากนั้นค่อยพูดในสิ่งที่ผู้มุ่งหวังอยากจะฟัง แบบนี้รับรอง คุยร้อยปิดร้อยค่ะ ดิฉันขอเขียนพอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเริ่มจะยาวแล้ว จริงๆ อยากจะเขียน “ตอนจบ” ทุกครั้งแบบได้ “แอบยิ้มมุมปาก” แต่ครั้งนี้คิดมุขไม่ออกจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ไหนๆ เราก็คุยกันเรื่องการฟังมากกว่าพูดแล้ว เอาเป็นว่า “ดิฉันขอรอฟังการติดต่อจากคุณผู้อ่านประจำในตอนจบแล้วกัน”

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความคิดสู่ความสำเร็จ...นอกกรอบ

สิ่งหนึ่งที่สำคัญก่อนการตัดสินใจทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องรู้จักคิดก่อนทำเสมอ และถ้าความคิดนั้น เป็นความคิดประเภท “ คิดนอกกรอบ ”  ด้วยแล้วจะดีมาก และดูจะเป็นคำฮิตที่มีความหมายไปในทางฉลาดว่า รู้จักพลิกแพลง  รู้จังหวะ โอกาส ไม่ปล่อยให้อะไรเป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามกฎเกณฑ์ที่มีการกำหนดกันมาแต่นมนาน คนที่ชอบคิดนอกกรอบ มักจะเป็นคนที่สร้างแนวทางใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา และเป็นคนที่คนทั่วไปมองว่า ฉลาดและจะประสบกับความสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงคนที่คิดนอกกรอบ แล้วประสบกับความล้มเหลว คุณว่ามีหรือไม่ คำตอบคือ มี ในชีวิตจริงมิใช่ว่าใครก็ตามที่คิดนอกกรอบแล้วจะประสบความสำเร็จไปเสียทั้งหมด เพราะหลักสำคัญในการ “คิดนอกกรอบ”  ที่คุณต้องรู้ก็คือ คุณต้องรู้ก่อนว่า “ คิดในกรอบ ” คืออะไร “ กรอบหรือกฎเกณฑ์ ” ที่เป็นตัวกำหนดความคิดหรือพฤติกรรมของคุณมีขอบเขตแค่ไหน คนที่ทำอะไร “ นอกกรอบ ” แล้วประสบความสำเร็จก็คือ คนเขียนกรอบหรือคนที่เป็นเจ้าของกรอบ เพราะเขารู้ว่ากรอบที่เขาเขียนหรือเป็นเจ้าของนั้น มีขอบเขตของการกำหนดแค่ไหน สำคัญมากน้อยอย่างไร และข้อกำหนดไหนสามารถนอกกรอบหรือกฎเกณฑ์ได้โดยไม่เกิดความเสียหายต่อสาระ หรือแก่นของธุรกิจ ดังนั้น หากคุณไม่ใช่คนเขียนกรอบหรือเป็นเจ้าของกรอบ มีวิธีเดียวที่คุณจะประสบความสำเร็จในการคิดนอกกรอบก็คือ  “ คุณต้องเข้าใจกรอบอย่างชัดเจน ” เรียกว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในกรอบประหนึ่งว่า คุณเป็นคนเขียนกรอบหรือกฎเกณฑ์นั้นขึ้นมากับมือ

ที่ดิฉันเขียนถึงเรื่อง “คิดนอกกรอบ” นี้ก็เพราะว่า ในธุรกิจขายตรง MLM เป็นธุรกิจที่มีแนวคิดนอกกรอบ เป็นแนวคิดที่ไม่อยู่ในกรอบของการค้าปลีกค้าส่งแบบทั่วไป ที่แยกกลุ่มระหว่างผู้ผลิต  ค้าปลีกค้าส่ง(พ่อค้าคนกลาง) และผู้บริโภค ออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ในธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะขายตรงแบบหลายชั้นหรือที่เรียกกันติดปากว่า MLM เป็นธุรกิจของการรวมศูนย์ เป็นธุรกิจที่เห็นความสำคัญของผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ผลิต (ตรงนี้คุณต้องพิจารณาแนวคิด ความเป็นมา และปณิธานของบริษัทที่คุณจะเข้าร่วมธุรกิจ)  จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคที่เป็นหุ้นส่วน  ได้บริโภคสินค้าที่ตนเองมีหุ้นส่วนอยู่ ในราคาหุ้นส่วนหรือราคาสมาชิก และได้รับผลตอบแทนในลักษณะ “หุ้นส่วนผู้บริโภค” นอกจากหุ้นส่วนจะได้รับสิทธิ์ในการบริโภคสินค้าในราคาประหยัดแล้ว  หุ้นส่วนยังมีโอกาส หรือมีช่องทางในการสร้างรายได้ หรือจะเรียกว่าเป็นการเพิ่มหุ้นของตนเองในบริษัทที่เรามีหุ้นส่วนอยู่ก็ได้   

แต่อยากจะบอกก่อนว่าการเพิ่มหุ้นของตนเอง ไม่ใช่การเพิ่มปริมาณการซื้อสินค้าในบริษัทที่เรามีหุ้นส่วนอยู่ เราก็ยังคงบริโภคหรือซื้อสินค้าตามกำลังทรัพย์ หรือเท่าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และขอย้ำว่า หุ้นส่วนทุกคนควรจะซื้อสินค้าตามกำลังทรัพย์และความจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันก็พอ และเมื่อเป็นหุ้นส่วนแล้ว ดิฉันเชื่ออย่างแเน่นอนค่ะใครๆ ก็อยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เเล้วอะไรละค่ะที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณยังไม่ประสบความสำเร็จ มาดูกันค่ะว่า ทำไมคุณถึงปล่อยให้ชีวิตของคุณเป็นไปตามยถากรรมอยู่ไหม ยังคอยโทษฟ้า โทษดิน โทษอากาศ โทษชาติกำเนิด โทษเวรกรรมอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่เเปลกค่ะที่คุณยังไม่ประสบพบเจอกับความสำเร็จมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างที่คุณต้องการ เเถมบางคนที่เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ เเต่ก็กลับใช้ชีวิตหลงลืมตัว ประมาท ไม่เคยโทษตัวเองเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่ก้าวหน้าสักที บางคนกว่าจะได้พบเจอกับคำว่าประสบความสำเร็จก็เหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้น้อยเหลือเกินไปเเล้ว เเต่บางคนก็ประสบความสำเร็จได้ตอนอายุยังน้อยๆ กันอยู่ อืม! น่าสนใช่ไหมหล่ะค่ะว่า คนอายุน้อยๆ เนี้ยะเขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างมหาศาลได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

ผู้ที่ประสบความสำเร็จกันรวดเร็ว ก้าวมาเป็นเศรษฐีระดับโลกนั้นเขาได้มีเเนวคิดที่่เเตกต่างออกไปคือ เขาไม่เลือกที่จะเป็นลูกจ้าง เพราะถ้าวันใดเขาป่วยเขาก็ขาดรายได้ เขาไม่ทำงานหนักๆ ไม่ทุ่มเท วันละ 8 ชั่วโมง หรือ มากกว่า เพื่อให้เจ้าของธุรกิจนั้นๆ รวย รวย รวย  เขาไม่ทำงานหนักเพื่อเเลกกับการเพิ่มเงินเดือนขึ้น 1 % หรือ 2 % ต่อปี หรืออาจจะไม่ขึ้นเลยก็เป็นได้ เขาไม่หวังลมๆ เเล้งๆ ว่า สักวันเขาจะได้นั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร เพราะเขาอาจจะได้ยินประโยคนี้เข้าสักวัน “ คุณเป็นคนเก่งนะ ทุกคนยอมรับ เเต่คงต้องรอตามลำดับขั้น ตามอาวุโส ” 10  20 หรือ 30 ปี กว่าที่เขาจะได้เงินเดือนมหาศาลระดับกรรมการบริหาร เขากลับมองหาวิธีการเป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง การมองหาธุรกิจที่สามารถทำเงินให้เขาได้ถึงเเม้เขาจะไม่ทำงาน เขาป่วยเขาก็ยังมีรายได้ เขายอมทำงานหนักเพียงไม่กี่ปีเพื่อเเลกกับรายได้ที่เขาจะได้ตลอดชีวิต เเถมยังเป็นมรดกตกทอดยังลูกหลาน เหลน โหลน ได้อีก ธุรกิจนั้นคือ ธุรกิจเครือข่าย MLM หรือ MLM Online ก็ทำได้เช่นกัน

พอรู้แบบนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้างค่ะ เเนวความคิดของเศรษฐี การศึกษาถึงวิธีการเเนวความคิด(นอกกรอบ) มองหาวิธีการเปลี่ยนเเปลงชีวิตของคุณเพื่อเปลี่ยนไปในทางที่ดีขี้น เพิ่มทักษะใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ อย่าลืมนะค่ะว่า เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน ดังนั้น คุณควรจัดสรรเวลาให้ถูก ใช้เวลาของคุณให้คุ้มค่า ให้ความสำคัญกับอนาคตตัวเองเป็น เเละเปลี่ยนเเปลงตัวเองให้มีศักยภาพมากพอที่จะสร้างความสำเร็จ ความมั่งคั่ง ร่ำรวยให้กับตัวเองได้ในที่สุด ดิฉันขอสนับสนุนให้นักธุรกิจ MLM ทุกคนค่ะ ส่วนใครสนใจอยากรู้เรื่องราววิธีการทำธุรกิจที่ดีเกี่ยวกับ MLM นี้...ติดต่อกับดิฉันได้ตามเบอร์ด้านข้างนี้

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ขอบคุณ" ที่สุดของคำที่ต้องพูด (ใน MLM)

เคยมีคนบอกดิฉันเสมอในการได้รับสิ่งที่ดีจากคนที่หวังดี นับเป็นโชคดีที่ได้รับสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของ หรือคำแนะนำก็ตาม และมีอยู่อย่างหนึ่งหลังจากได้รับแล้วจะขาดเสียไม่ได้เลยก็คือ คำว่า "ขอบคุณ" ที่ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า Thank You ต้องพูดออกไป เพราะดิฉันจะถูกสอนมาแต่เด็กว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือ หรือสิ่งดีๆ จากผู้อื่น โดยเฉพาะธุรกิจ MLM นี้ เป็นธุรกิจที่อยู่บนพื้นฐานของการให้ ให้โอกาสทางธุรกิจ MLM ที่ดิฉันไม่มีวันลืมจนทุกวันนี้  เมื่อได้รับแล้วก็ต้องบอกคำขอบคุณเสมอ ซึ่งก็จะเป็นคำแรกที่ดิฉันจะเปล่งออกจากปากประจำ แต่ก็มีหลายครั้งที่สิ่งต่างๆ ที่มากระทบกับใจเรา แล้วรู้สึกท้อแท้ หรือกลายเป็นปัญหาทางธุรกิจ แต่หากลองมองในมุมกลับ อาจพบมุมดีๆ ที่แทรกอยู่ภายใน ที่เกี่ยวโยงกับคำว่าขอบคุณได้ และนี่เป็นแนวคิดที่อยากให้พวกนักธุรกิจเครือข่ายนำไปใช้ ซึ่งมีความนัยอันลึกล้ำของคำ "ขอบคุณ" มาให้ลองอ่านกันดูนะ
ดิฉัน...ขอขอบคุณความไม่มีอะไร...ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน...ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว...ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในธุรกิจ
ขอบคุณความผิดพลาดในการตัดสินใจ...ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความอิจฉาริษยา...ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์...ที่ทำให้ผลิบานสิ่งที่ดีอย่างไร้ข้อตำหนิ
ขอบคุณความไม่รู้...ที่ทำให้รู้จักครูชื่อประสบการณ์ และพบกับโค้ชที่ดี
ขอบคุณความผิดหวัง...ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า...ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ เรายังต้องขยันเรียนรู้ต่อไป
ขอบคุณความเห็นแก่ตัว...ที่ทำให้เรารู้จักความจริงของคนที่รัก
ขอบคุณความป่วยไข้...ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ MLM...ที่ทำให้รู้ว่าความสุขในความสำเร็จมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก...ที่ทำให้เราสละจากความยึดติดถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส...ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย...ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

ทุกคำขอบคุณของดิฉันนี้มีค่าเสมอ หากเราเริ่มต้นเห็นคุณค่าจากการทำดี การคิดดี การให้สิ่งที่ดีแก่คนอื่นๆ สำหรับที่สุดของชีวิตในการทำธุรกิจ MLM คือ การได้ให้โอกาสที่ดี การได้แนะนำสิ่งที่ดี การได้เห็นคนดีมีความสุขจากสิ่งที่เราให้ นี่หล่ะ..คือที่สุดของชีวิตที่ดิฉันต้องการ ไหนๆ ก็เขียนมาถึงตรงนี้เกี่ยวกับความเป็นที่สุดแล้ว ดิฉันก็ขอเสริมต่อให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องที่สุดของชีวิตว่า...
วามพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตคือ การทะนงตัว
ปัญญาอ่อนที่สุดของชีวิตคือ การโกหก
การหยั่งรู้ยากที่สุดของชีวิตคือ การอิจฉาริษยา
ความน่าเศร้าที่สุดของชีวิตคือ การไม่ทำความดี
กุศโลบายที่ดีทีสุดของชีวิตคือ ความซื่อสัตย์
ความประมาทที่สุดของชีวิตคือ การคบเพื่อนชั่ว
การมีค่ามากที่สุดของชีวิตคือ เวลา
ความน่าสงสารที่สุดของชีวิตคือ การดูถูกตัวเอง
ความน่านับถือยกย่องที่สุดของชีวิตคือ ความมานะหมั่นเพียร
การล้มละลายที่หนักที่สุดของชีวิตคือ ความสิ้นหวัง
ความร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดของชีวิตคือ สุขภาพแข็งแรง
ความยากจนที่สุดของชีวิตคือ การไม่รู้จักพอ
ความรักที่มากที่สุดของชีวิตคือ การรักตัวเองในทางที่ดี
บาปกรรมใหญ่ที่สุดของชีวิตคือ ความไม่กตัญญู
ความโง่เขลาที่สุดของชีวิตคือ การติดยาเสพติด
ความชั่วช้าต่ำต้อยที่สุดของชีวิตคือ เหยียดหยามผู้อื่น
ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของชีวิตคือ การเล่นการพนัน
ของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิตคือ การให้อภัยกับทุกคนที่ทำผิด
ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของชีวิตคือ ตัวเราเอง
ความสุขที่มากที่สุดของชีวิตคือ การได้ช่วยเหลือผู้อื่น การได้ให้ผู้อื่น
และการยอมรับนับถือที่สุดของชีวิตคือ ความก้าวหน้า

ดิฉันหวังไว้เสมอจากการทำธุรกิจ MLM นี้ เผื่อใครจะเป็นอย่างที่สุดข้างต้นนี้บ้าง ขอให้นักธุรกิจเครือข่าย MLMทุกคน จงมุ่งมั่นทำดีในทุกอย่าง และหมั่นขอบคุณเสมอกับสิ่งที่ได้รับ พร้อมทั้งแบ่งปันสิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลากับทุกคนที่รู้จัก เพียงเท่านี้ ดิฉันก็มีความสุขกับการทำธุรกิจแล้ว..โชคดีค่ะ

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทพิสูจน์..ที่มาของรายได้

ถ้าเราไม่ใส่ใจว่า ธุรกิจเครือข่ายนั้นๆ ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าประเภทไหน ไม่ว่าจะอุปโภค-บริโภค, อาหารเสริม, เครื่องสำอาง, หรือแม้กระทั่ง ปุ๋ย เป็นต้น การที่มีลูกค้าซื้อสินค้าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม โดยปกติแล้วธุรกิจเครือข่ายจะต้องมี ระบบจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องและสามารถตรวจสอบได้ การเก็บข้อมูลตรงนี้จะเป็นตัวบอกว่า ในเดือนหนึ่งๆ ที่ผ่านไปใครซื้อสินค้า หรือขายสินค้ามากน้อยแค่ไหน และปันผลคืนให้ในรูปแบบของสหกรณ์ในโรงเรียนตอนเด็ก ๆ นั้นหล่ะ ซื้อเยอะก็ได้คืนเยอะ ซื้อน้อยก็ได้คืนน้อย ก่อนที่จะเป็นธุรกิจเครือข่ายก็คือ สหกรณ์นั่นเอง  เมื่อธุรกิจที่มีลักษณะของสหกรณ์ มันไม่แฟร์ตรงที่ เราอุตส่าห์ไปบอกเพื่อน ให้มาซื้อของที่นี้แล้วได้เงินคืน ทำไมเราไม่ได้อะไรกลับมาบ้างน้า ก็เราเป็นคนโฆษณาให้ชัด ๆ รู้ไหมว่าสหกรณ์ของคนเติบโตขึ้นได้เพราะ เรานะเนี่ย….นี่หล่ะธุรกิจเครือข่ายคือ คำตอบ

ในธุรกิจเครือข่ายจะต้องมีระบบที่คอยจดจำให้เราว่า เราชักชวนหรือแนะนำ สินค้าให้ใครบ้าง เราไปบอกให้ใครมาซื้อบ้าง ซึ่งยิ่งบอกเยอะคนซื้อก็เยอะขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเรียกว่า องค์กรหรือเครือข่าย  อัตราการบริโภคหรือใช้สินค้า ผ่านการแนะนำของเราและองค์กร ถือว่าเราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตรงนี้ เพราะถ้าเราไม่บอกไม่แนะนำก็ไม่มีคนมาซื้อของจากบริษัทคุณหรอกนะ ตรงนี้เองที่บริษัทธุรกิจเครือข่าย เค้าสำนึกในบุญคุณของเรา จึงผลปันเป็นรายได้ให้กับเรานั้นเอง ตรงนี้เองที่เอาไว้พิสูจน์แหล่งที่มาของรายได้ในธุรกิจเครือข่ายต่างๆ คราวนี้เราก็ต้องมาดูอีกว่า บริษัทไหนปันผลให้กับเราหรือสมาชิกอย่างไรบ้าง

ลักษณะการปันผลในธุรกิจเครือข่าย
ทุกๆ ธุรกิจเครือข่ายจะปันผลในกับลูกค้าและองค์กรของเค้าผ่านทางข้อกำหนดของ แผนการตลาด นั้นเอง ที่เค้าเรียก ๆ กันว่า แผนฉันดีอย่างนั้น อย่างนี้ อย่าไปเสียเวลาเอา แผนการตลาดของเราไปทะเลาะกับแผนการตลาดของคนอื่นเลย แต่ละแผนสร้างให้มีคนที่ประสบความสำเร็จ กันแล้วทั้งนั้น แผนการตลาด เป็นข้อกำหนดที่บอกว่าเราและองค์กรมียอดใช้สินค้าเท่าไหร่ แล้วจะปันผลเป็นกี่ % ( เปอร์เซ็นต์ ) คนที่ไม่เข้าใจลักษณะแผนการตลาดแบบนี้มักจะมองว่า

ธุรกิจเครือข่าย > แชร์ลูกโซ่ > กินหัวคิว > ธุรกิจน่ารังเกียจ
มองแบบนี้บอกได้ว่าเค้าไม่เข้าใจ รูปแบบการดำเนินธุรกิจในแบบที่ดิฉันอธิบายไปข้างต้น ยังไม่อีกหลากหลายเหตุผลที่เราสามารถยกขึ้นมาเป็นปัจจัยสนับสนุนในเข้าใจมากขึ้นได้อีก

อีกข้อหนึ่งที่เราต้องยอมรับว่า ธุรกิจเครือข่ายนี้ทำให้คนประสบความสำเร็จเป็นหลักหลายล้านคนทั่วโลกมาแล้วก็ว่าได้ ผลิตจากชีวิตคนจนที่ไม่มีอะไรเลย ให้กลับกลายเป็นเศรษฐีได้ แต่อีกแง่หนึ่งก็มีอีกหลายคนที่ต้องเจ็บตัวกับธุรกิจเครือข่ายเช่นกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องทำอยู่ในความถูกต้อง ถูกระบบ ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน และถูกวิธีการที่เราทำได้จริงๆ อย่าเอาแต่ใจคนอื่น หรือความต้องการของคนอื่นเป็นหลัก เพราะจะทำให้สูญเสียความเป็นตัวเราไปได้ สุดท้ายก็หมดสิ้นทุกอย่างที่ไม่น่าจะสูญเสียเลย

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เงินแสน(สาหัส) นี้...ได้จริงหรือไม่ ?

" ทำงานพาร์ทไทม์ มีสิทธิ์ได้เงินแสน"  ดิฉันเชื่อว่า พวกเราทุกคนคงเคยเห็นข้อความเหล่านี้มาบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็นตามเว็บไซต์ เว็บบอร์ด เฟสบุ้ค หรือแม้แต่ในอีเมล์ของเรา คุณเคยลองหาคำตอบดูมั้ยว่ามันคืออะไร แล้วมันเป็นแบบนั้นได้จริงมั้ย ?  สำหรับดิฉัน..เคยค่ะ ! และวันนี้ดิฉันจะนำมาเล่าสู่กันฟัง  โดยนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาอะไรทำเกี่ยวกับการสร้างรายได้อยู่เสมอ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้น ดิฉันต้องศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดีสักระยะเรียกได้ว่า ต้องมีความมั่นใจในระดับที่พอรับได้ก่อน หรือการบริหารความเสี่ยงแบบย่อมๆนั่นเอง

ธุรกิจออนไลน์ที่มีการโปรโมตกันเกลื่อนบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์แท้ ออนไลน์เทียม มีให้เห็นผ่านตากันทุกวัน วันแล้ว วันเล่า จนในที่สุด วันหนึ่งดิฉันอยากรู้จริงๆ วันมันคืออะไร ทำไมมันถึงได้รวยอะไรกันนักหนา ดิฉันจึงตัดสินใจกรอกข้อมูลลงไปในเว็บเหล่านี้ โดยดิฉันเลือกกรอกไป 2-3 เว็บ ซึ่งส่วนใหญ่เขียนคำโฆษณาว่าเป็นงานประชาสัมพันธ์ นั่งหน้าคอมวันละไม่กี่ชั่วโมงก็สร้างรายได้หลายพันใน 1 สัปดาห์ หน้าตาของโฆษณาก็จะมีลักษณะประมาณนี้

" สวัสดีค่ะ..ขอโทษค่ะตอนนี้ที่บริษัทเค้ารับพนักงานเพิ่มเติมใครสนใจอยากทำงาน Part-time รีบเลยนะค่ะ เราจะสอนให้คุณใช้ Internet พื้นฐานได้เพื่อหารายได้ก้นอาทิตย์ล่ะประมาณ 3,500-9,500 บาท โอนมาให้จิงทุกวันพฤหัสค่ะ ถ้าไม่จริงคงเลิกโพสต์ไปนานแล้วรีบเลยนะค่ะ เชื่อค่ะ และสำหรับคนที่คิดว่าทำอย่างเราไม่เป็นจะมีคนสอนค่ะ สนใจคลิ๊กที่ลิ้งค์ได้เลยค่ะ "

ผ่านไป 3 วัน มีสาวเสียงหวานโทรหาดิฉันอีก ถามว่าอยากทำงานนี้จริงมั้ย มีเวลาใช้เน็ตมากขนาดไหน ดิฉันถามเค้าว่า มันเป็นงานอะไรเหรอ? เค้าก็ตอบว่าเป็นงานประชาสัมพันธ์ผ่านเน็ต ยังมีกั๊กอีก ไม่บอกซะที จากนั้นก็บอกว่าจะส่ง SMS มาบอกชื่อเว็บไซต์เล็กๆ มีเนื้อหาอยู่ 4 หน้า แล้วให้เราเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็บนั้นทุกบรรทัด มีวิดีโอ Youtube ก็ต้องดูให้จบ มีหน้า facebook page ก็ต้องคลิ๊ก like สาวเสียงหวานยังเน้นก่อนวางสายว่าให้อ่านทุกบรรทัดนะค่ะ แล้วจะโทรมาถามว่าเข้าใจรึเปล่า
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อดิฉันได้รับ SMS ซึ่งเป็นชื่อของเว็บไซต์หนึ่ง (มีชื่อขึ้นต้นว่า MV) ดิฉันก็รีบเข้าไปในเว็บไซต์นั้นแล้วอ่านมันทุกบรรทัด โดยหน้าแรกพูดถึงขุมพลังแห่ง Social Network แถมด้วย Music Video จากวงแคลช ในใจก็คิดว่าสงสัยเป็นงานโปรโมตอัลบั้มเพลงใหม่ พอคลิ๊กไปหน้า 2 ก็พูดถึงการทำงานออนไลน์ หน้าที่ 3 พูดถึงบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่ง (มีอักษร M และ V เป็นส่วนประกอบ) อ้าว.. ชักงง แล้วไปหน้าที่ 4 ก็พูดถึงบริษัทนี้ทิ้งทวนอีกครั้ง
ด้วยความที่ดิฉันไม่ได้รังเกียจอาชีพสุจริต รวมถึงธุรกิจขายตรงที่ถูกกฏหมาย จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า เค้าจะให้เราทำอะไรกันแน่ หน้าที่ของเราคือการประชาสัมพันธ์เว็บนี้เท่านั้นเหรอ ดิฉันจึงรอสาวเสียงหวานอย่างจดจ่อ เพื่อเคลียร์คำถามคาใจ จนในที่สุดก็มีเสียงเรียกเข้ามาที่มือถือดิฉัน
“ว่าไงค่ะ ดูเว็บไซต์ของเราแล้วหรือยัง”  สาวเจ้าเปิดประเด็น
“ดูหมดแล้ว” ดิฉันตอบอย่างอ่อนน้อม  ”อ่านทุกบรรทัด ทุกหน้า ตามที่คุณบอกด้วยนะ” ดิฉันพูดเสริม
“เหรอๆ เป็นยังไงมั่ง แล้วคิดยังไงค่ะ” สาวเจ้าถามอย่างตื่นเต้น
“อืม..ม ม  มันเป็นเว็บที่ทำขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจของบริษัท M..V..  ใช่มั้ย” ดิฉันถามแบบงงๆ
“แต่บอกตรงๆว่า ดิฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าจะให้ดิฉันทำอะไร จะให้ดิฉันประชาสัมพันธ์เว็บนี้เหรอ” ดิฉันถามต่อ
“ใช่ค่ะ เป็นเว็บที่เราทำขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจ M..V.. เป็นธุรกิจขายตรงนะ” เธอตอบแบบติดเขินเล็กๆ
“ดิฉันไม่มีปัญหาอะไรกับธุรกิจขายตรงนะ แต่แค่อยากรู้ว่าจะให้ดิฉันประชาสัมพันธ์เว็บของคุณ แล้วดิฉันได้ตังค์จากคุณ หรือดิฉันต้องสมัคร M..V..  แล้วทำธุรกิจร่วมกับคุณ ” ดิฉันถามไปตรงๆ
“ต้องสมัครร่วมธุรกิจกับเราค่ะ สนใจมั้ยค่ะ”  เธอตอบ
“เหรอค่ะ อืม..ม” ดิฉันพูดเพื่อไม่ให้บรรยากาศนิ่งเงียบเกินไป “งั้นดิฉันคงไม่สนใจนะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณที่โทรมาให้ข้อมูล” ดิฉันตอบแบบรักษาน้ำใจ แล้วเธอก็วางสายไป

จากบทสนทนานี้ทำให้ดิฉันรู้ว่าธุรกิจออนไลน์แบบ Part time ที่ผู้คนนำเสนอกันเกลื่อนบนเว็บ แท้จริงก็คือ ธุรกิจขายตรงที่พยายามรุกคืบเข้าสู่โลกออนไลน์ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่เรื่องรายได้จะเป็นจริงอย่างที่เค้าว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับเราค่ะ ถ้าเราสมัครร่วมธุรกิจกับเค้า แล้วทำตามแผนงานได้ เราก็จะได้รายได้แบบนั้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ สิ่งที่ดิฉันต้องการจะบอกก็คือ อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า ดิฉันไม่ได้มีอคติกับตัวธุรกิจขายตรง แต่กลยุทธ์ดึงดูดคนด้วยวิธีนี้ไม่ใช่แนวทางที่ควรปฏิบัติ และดิฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ดีเท่าไรในการทำการตลาดแบบดึงดูด การทำงานลักษณะนี้ใช้ กฏแห่งค่าเฉลี่ย มาเป็นแนวทางการปฏิบัติ คือ กระจายสื่อของตัวเองไปให้ได้มากที่สุด จากนั้นรอผลตอบรับกลับมาเป็นการกรอกข้อมูลแสดงความสนใจ ซึ่งแน่นอนว่าคงมีไม่น้อยที่กรอกข้อมูลไป จากนั้นค่อยมากรองกันอีกทีว่าจะมีคนสนใจจริงๆ กี่คนเมื่อมีการให้ข้อมูลที่แท้จริง หากคุณคิดจะทำการตลาดแบบดึงดูดด้วยวิธีการออนไลน์ ดิฉันแนะนำว่าให้ใช้ความจริงใจเป็นจุดขายของคุณตั้งแต่แรกไปเลยดีกว่าหมกเม็ด ข้อมูลแบบนี้ถึงจะมีคนสนใจในเบื้องต้นมาก แต่ในระยะยาวคงยากค่ะ

ไม่ให้ถูกหลอก ควรเลือกดูอย่างไร (ดี)

หลายคนต้องการประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจเครือข่าย แต่ต้องการที่ปรึกษาที่สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้….จะเลือกอย่างไร หลายคน…หลงทาง…ธุรกิจเครือข่ายด้านมืด…จนหมดตัว…ตายออกจากธุรกิจนี้ไปก็เยอะ…เป็นเพราะอะไร? วันนี้ดิฉันจะแฉข้อมูล…การเลือก กูรู อย่างไร ไม่ให้คุณถูกหลอก ในธุรกิจเครือข่าย MLM เมื่อหลายเดือนก่อนดิฉันไปเจอข้อมูลหนึ่งน่าสนใจมาก มีกูรูคนหนึ่งสร้างรายได้จากการทำธุรกิจเครือข่ายในแบบออนไลน์ เพียงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน ดิฉันก็เริ่ม เอ๊ะใจ ทำไมเขาทำได้เร็วจัง ดิฉันคิดว่าต้องเป็นธุรกิจที่สุดยอดแน่ ๆ เลย แต่พอหาข้อมูลไปมาเหล่านี้ดู ปรากฎว่า กูรูคนนี้ทำธุรกิจ Money Game แชร์ลูกโซ่ (โดยมารยาท ดิฉันคงบอกไม่ได้นะว่า กูรูคนนี้ชื่ออะไร แต่
จะเล่าแชร์ให้ฟังเป็นประสบการณ์) หลายคนมากค่ะ…หวังทำธุรกิจเครือข่าย ต้องการประสบความสำเร็จ…แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ต้องล้มเลิกและสาปส่งธุรกิจเครือข่ายไปอย่างน่าอนาถใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะผู้นำส่วนใหญ่ ไม่คำนึงผลพลอยที่ตามมา ยังไงล่ะค่ะ หวังเพียงแค่ว่า ฉันทำรายได้เป็นแสนเลยนะ คุณมาทำคุณก็มีสิทธิ์ได้เหมือนดิฉัน แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยค่ะ คนที่หลงทางเข้าไปในธุรกิจ Money Game ส่วนใหญ่ 99% ไม่ประสบความสำเร็จและทำให้คนเหล่านี้เข้าใจธุรกิจเครือข่าย MLM ว่าคือ ธุรกิจที่หลอกหลวง ดิฉันอยากให้คุณที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ ลองตระหนักถึงว่า ธุรกิจเครือข่ายที่คุณทำอยู่นั้นเป็นอย่างไร…

ส่วนตัวดิฉันเอง จากประสบการณ์ตรงที่ดิฉันเจอมากับตัวเอง ดิฉันขอยกตัวอย่างเหล่านี้ ที่ไม่ใช่ธุรกิจเครือข่ายนะ
1. บริษัทไม่มีตัวตน หรือมีจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
2. แผนการตลาดจ่ายอย่างไร (ถ้าเป็นการจ่ายที่คุณลงทุนครั้งเดียว แล้วได้ผลกำไรกลับมา
    หลายเท่าตัว หรือ 5x เท่า) ตรงนี้คุณต้องดูการจ่าย เพราะส่วนใหญ่แล้ว Money game หรือ
    แชร์ลูกโซ่ จะเอาเงินของการลงทุนคนใหม่ มาจ่ายให้คนเก่า หรือที่เรารู้จักกันดีกว่า “กิน
    หัวคิว”นั้นเอง
3. สินค้ามีตัวตนหรือไม่ จับต้องได้มั้ย (ถ้าไม่มีสินค้า อย่าคิดจะทำเด็ดขาด หรือมีสินค้าต้องดู
    ว่ามีจดทะเบียนมีการรับรองหรือไม่)

เพียง 3 อย่างนี้ที่คุณต้องตระหนักถึงก่อนจะเข้าร่วมธุรกิจเหล่านี้ เพราะธุรกิจ Money Game แชร์ลูกโซ่ ดิฉันบอกได้เลยว่า ไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้แน่นอน ตราบใดที่ยังมีคนโลภอยู่ มันก็จะไม่หมดไปง่าย ๆ เด็ดขาด มีหลายคนบอกว่า เค้าทำ Money Game แล้วยังไงหรอ ? ก็เค้าได้เงินนิ… คุณได้เงิน ถูกต้องค่ะ แต่คนใหม่ ๆ ที่เข้ามาหวังว่าจะได้รายได้เหมือนกับคุณ…แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถมีมีรายได้เหมือนกับคุณได้…เขาก็เลยเข็ดขยาด กับธุรกิจพวกนี้ไปยังไงละค่ะ ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ดิฉันบอกก็ได้ค่ะ… มีตัวอย่างให้เห็นเยอะแยะมากมาย ณ ปัจจุบันนี้ เวลานี้ ก็ยังมีให้เห็น ๆ กันอยู่  อยู่ที่คุณ เลือก อยู่ที่คุณตัดสินใจ อยู่ที่คุณลงมือทำ

ถ้าคุณทำผิดที่ ทำ 10 ปีก็ไม่รวยค่ะ ถ้าคุณต้องการสำเร็จเหมือนผู้นำที่เขาทำธุรกิจเครือข่ายแล้วมีรายได้เป็นแสนเป็นล้านได้ คุณก็ต้องเข้าใจความหมายธุรกิจเครือข่ายให้ดี ให้ลึกซึ้งเสียก่อนค่ะ ไม่ใช่ฟังผู้นำป่าเถื่อนข้างเดียว….แล้วเชื่อเขาทุกอย่าง บางทีเขาแนะนำคุณในทางที่ผิดโดยที่คุณไม่รู้ตัว…
วันนี้ดิฉันได้ถ่ายทอดให้อ่านอาจจะดูแรงไปหน่อยนะ เพราะดิฉันเห็นธุรกิจ Money Game แชร์ลูกโซ่ นับวันยิ่งคุกคามบนโลกของเราทุกวันๆ  ดิฉันไม่อยากเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ คนใหม่ ๆ เข้าไปแล้วเสียโอกาส กับธุรกิจประเภทนี้….ดิฉันจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกของดิฉันอย่างแท้จริง
โลกธุรกิจเครือข่าย จะน่าอยู่ก็ต่อเมื่อไม่มีคนโลภ และไม่มีคนหวังผลประโยชน์ตัวเองก่อนเสมอ..จริงไหมค่ะ

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

จน ไม่ได้เป็นกรรมพันธุ๋

ใครที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ บอกดิฉันได้ไหมว่า..ทำไมถึงจน? ทำไมต้องจน? ไม่มีเวลา? ทำไมไม่มีเวลา? ไม่มีเวลาทำโน้น ไม่มีเวลาทำนี่ ไม่มีๆ และก็ทำไม ฯลฯ เออ..ยังเป็นโจทย์ที่ดิฉันสนใจมากที่สุดตลอดทั้งชีวิตของดิฉันเลยทีเดียว และดิฉันก็เชื่อว่า หลายๆ คนคงเคยใช้ประโยค หรือโจทย์เหล่านี้กับตัวเองบ้างเช่นกันไม่มากก็น้อยใช่หรือเปล่าค่ะ? เพราะอะไรทำไมผู้คนส่วนใหญ่ชอบใช้ประโยคพวกนี้กัน และมันมีอิทธิพลต่อชีวิตเราอย่างไร แบบไหน และหากไม่ต้องการจะใช้ประโยคเหล่านี้อีกต่อไปจะต้องทำยังไง? ดิฉันพยายามคิด และค้นหาคำตอบมาเกือบทั้งชีวิต และได้ศึกษาว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงจน?
เหตุผลของคนจนก็คือ

1.คำแก้ตัว
2.ไม่ยอมศึกษาหาความรู้ใหม่ๆเข้ามาในชีวิต
3.ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง
4.ขาดความใฝ่ฝัน และจินตนาการที่ดี
5.ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน

ทำไมถึงจน? ทำไมต้องจน?  ไม่มีเวลา? ทำไมไม่มีเวลา? ส่วนลึกของจิตใจพวกเราที่ชอบใช้ประโยคนี้อยู่บ่อยๆซ้ำๆ มันจะทำให้เราไม่มีทางออก เพราะการใช้ประโยคนี้ที่ผิดๆ มันจะกลายเป็นโจทย์ของชีวิตเรา เพราะเมื่อคุณจะตอบประโยคคำถามที่ว่า ทำไมถึงจน? ทำไมต้องจน?  ไม่มีเวลา? ทำไมไม่มีเวลา? ดิฉันเชื่อว่า คุณคงจะค้นหาคำตอบที่เป็นสาเหตุของความล้มเหลวเหล่านั้นอย่างถึงที่สุด เช่นอาจจะตอบว่า พ่อแม่ไม่รวยมาก่อน ไม่ขยัน ไม่รู้จักเก็บเงิน มัวทำแต่งานเลยไม่มีเวลาฯลฯ ที่เป็นสาเหตุของคำถามเหล่านั้น เมื่อตั้งโจทย์ชีวิตผิด คำตอบที่ได้อาจจะถูกต้องที่ว่า ทำไมถึงจน ทำไมไม่มีเวลา แต่มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องไปขุดคุ้ยค้นหาเหตุผลของความล้มเหลวเหล่านั้น หากเราตั้งโจทย์ชีวิตถูก แทนที่เราจะหยุดอยู่ตรงที่ว่า ทำไมถึงจน ทำไมไม่มีเวลา ชีวิตเราก็จะมุ่งไปข้างหน้าเพื่อค้นหาสิ่งที่เราต้องการมากกว่าเหตุผลของความล้มเหลวนั้น

โจทย์ที่ถูกต้องของชีวิตก็คือ “จะทำอย่างไรชีวิตเราถึงจะประสบความสำเร็จ” งานหรืออาชีพอะไรที่สามารถให้ในสิ่งที่เราต้องการ ? เมื่อเราต้องการเงิน เราต้องเรียนรู้เรื่องเงิน เมื่อเราต้องการเวลา เราต้องรู้ว่าจะได้มันมายังไง สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่า เราติดกับดักอะไรอยู่ และเราจะออกจากกับดักนี้ไปได้อย่างไร เพราะความรู้ทางด้านการเงินที่แท้จริง คือหนทางที่ทำให้คุณพร้อมครอบครัว นำไปสู่การใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ และสิ่งที่จะต้องเปลี่ยนก็คือ สิ่งที่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวของคุณเองอย่างแท้จริง ..นั่นคือ ตัวคุณ ใช่หรือไม่

ความต้องการอะไร ? (ของผู้มุ่งหวัง)

นานที จะขอกลับมาเขียนเรื่องพื้นฐานของผู้มุ่งหวังสักหน่อยว่า ที่แท้จริงแล้วพวกเราต้องการอะไร ? กันแน่ เพราะฉะนั้น เรื่องราวสำคัญในวันนี้ สิ่งที่ดิฉันอยากให้นักธุรกิจเครือข่ายทั้งหลายต้องรู้ ต้องเข้าใจคือ มนุษย์ต้องการอะไร  ผู้มุ่งหวังกำลังมองหาอะไร ? จากประสบการณ์การทำงานในโลกธุรกิจเครือข่ายของดิฉันบางครั้งก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ คือ การสร้างความสัมพันธ์ และการเข้าใจความต้องการของมนุษย์ เพราะถ้าไม่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ก็หาคนมาสมัครไม่ได้ เมื่อสมัครคนไม่ได้ก็ไม่มีรายได้ แล้วก็ล้มตายไปจากสุดยอกดธุรกิจทั้งหลาย อย่างที่คน 99% ในโลกธุรกิจเข้าเป็นกัน จากพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ ที่เป็นผู้ชี่ยวชาญทางด้านนักมนุษยวิทยาได้แบ่งระดับความต้องการของมนุษย์ ตามทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ( Maslow’s Hierarchy of Needs) ออกมาเป็น 5 ระดับ

1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiology Needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ หรือสิ่งมี ชีวิต ที่ต้องมีการเติมเต็มไม่ให้ขาด เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ เกิดขึ้นเช่น อ๊อกซิเจน, อาหาร, น้ำดื่ม , การพักผ่อนนอนหลับ หรือ ความต้องการทางเพศ ถ้าขาดสิ่งเหล่นนี้ไปหรือมีอยู่อย่าง ไม่พอเพียงแล้ว ความต้องการด้านอื่นในระดับที่สูงกว่าก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งความต้องการหลักของนักธุรกิจเครือข่ายต้องการก็คือ รายได้ ถ้าธุรกิจไหนสร้างรายได้มหาศาลให้กับคนที่ทำแล้ว หรือวิธีการไหนที่ทำให้เขาสร้างรายได้ืั้ต้องการแล้ว ก็จะแย่งกันเข้าไปทำ ซึ่งทำให้ทุกบริษัทเครือข่ายโปรโมทแผนการสร้างรายได้ หรือ ค่าคอมมิชชั่น หรือโบนัสต่างๆ เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาสนใจ เข้ามาทำธุรกิจด้วยความตื้นเต้น และความอยากได้เงินมหาศาลอย่างที่คนอื่นทำได้ แต่จากสถิติคน 99 % จะเลิกทำธุรกิจเครือข่าย ภายในเวลา 1-3 เดือน เพราะไม่มีรายได้จากการทำธุรกิจ หรือสร้างรายได้ไม่พอกับรายจ่ายในการทำธุรกิจ เพราะไม่รู้วิธีการสมัครคน หรือมีระบบการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพพอ

2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety Needs ) เมื่อความต้องการทางร่างกายได้ถูกเติมเต็ม แล้วความต้องการขั้นต่อไปคือ ความต้องการความปลอดภัย ความมั่นคง ซึ่งมนุษย์นั้นจะเป็นผู้มองหาความมั่นคง ในทุกเรื่องในการดำเนินชีวิต หรือกับเหตุการที่เผิชญอยู่ของเขาเหล่านั้น เช่น ความมั่นคงในการทำงาน สุขภาพ หรือรายได้  ความมั่นคงในการทำธุรกิจเครือข่าย ที่มองเป็นรูปธรรมได้ก็คือ ตัวบริษัทที่เราจะเข้าร่วม เช่น ชื่อเสียง ของบริษัท, ความมั่นคงของบริษัท, บริษัทเปิดมานานหรือยัง, มีบริษัทหรือศูนย์ธุรกิจอยู่ในเมืองไทย หรือไม่, ประสบการณ์ในโลกธุรกิจเครือข่ายของผู้นำธุรกิจ ซึ่งนักธุรกิจเครือข่ายทั้งหลายต้องให้ราย ละเอียดเหล่านี้ให้ผู้มุ่งหวังได้อย่างถูกต้องเมื่อถูกสอบถาม ซึ่งคำถามยอดนิยมในธุรกิจเครือข่ายของผู้มุ่งหวังถาม เพราะเกิดจากความไม่มั่นใจในการ ทำธุรกิจ เครือข่าย เช่น ทำเงินได้จริงอย่างที่บอกหรือเปล่า?, คุณทำเงินได้เท่าไหร่แล้วจากธุรกิจนี้? หรือถ้า คุณสร้างรายได้ 6 -7 หลักอย่างที่บอกได้แล้ว ค่อยมาคุยกันใหม่? ต้องสมัครคนหรือ ต้องขายของหรือเปล่า? ซึ่งเมื่อ ผู้มุ่งหวังไม่ได้รับคำตอบอย่างที่คิดไว้ หรือไม่ได้รับการตอบสนองที่พึงพอใจอย่างที่ บอกไว้ โอกาสที่จะถูกปฎิเสธก็จะมีสูลขึ้นไปด้วย

3. ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love Needs) ความต้องการลำดับต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม และมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าสงบุคคล ก็คือ ความรัก และการเป็นเจ้าของ การได้รับการยอมรับจากสังคม หรือได้รับการดูแลเอาใจใส่ ซึ่งมนุษย์จะรู้สึกเจ็บ ปวดเมื่อถูกทอดทิ้ง หรือไม่ได้รับการยอมรับของสังคม
 ไม่มีเพื่อน และไม่ได้รับการนับถือ หรือยกย่อง ซึ่งกันและกันในครอบครัว คนรัก หรือระหว่างเพื่อนแล้ว ถ้ามนุษย์ไม่ได้รับการเติมเต็มในเรื่องนี้ แล้วสิ่ง ที่ก่อให้เกิดดความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ชีวิตล้มเหลว ไม่อยากทำอะไรต่อไป สิ้นหวังหมดกำลังใจ จนอาจรุนแรงถึงการฆ่าตัวตายได้  ในการทำธุรกิจเครือข่ายแล้วความต้องการลำดับที่ 3 นี้ จะเป็นทางด้านการสร้างความเชื่อมั่น หรือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การดูแล และใส่ใจระหว่างอัพไลน์กับดาวไลน์ก็ดี หรือระหว่างผู้มุ่งหวังกับอัพไลน์ก็ดี ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างนักธุรกิจเครือข่ายกับผู้เข้าร่วมธุรกิจที่มาใหม่คือ เมื่อเข้าร่วมธุรกิจแล้วอัพไลน์ก็หายไป หรือไม่ได้การแนะนำวิธีการทำงานที่ถูกต้อง


4. ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือยกย่อง ( Self-Esteem Needs) ซึ่งเป็นแรงผลักดันจากความต้องการในลำดับความต้องการขั้นที่ 3 หลังจากที่ได้รับความรักจากผู้อื่นแล้ว ซึ่งการนับถือยกย่องจากสังคมก็จะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ซึ่งการนับถือยกย่องจะแยกย่อยไปได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ
การนับถือตัวเอง ( Self- respect ) ความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง เป็นกุญแจสำคัญแห่งความประสบความสำเร็จในทุกด้าน เป็นแรงกระตุ้น ซึ่งก่อให้ความรู้สึกว่ามีคุณค่าแก่ผู้อื่นหรือมีประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งการนับถือตัวเองจะนำไปสู้ความสำเร็จในการทำ

งานและก่อให้เกิดความเป็นผู้นำในตัวบุคคลนั้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่าง บิล เกตต์ เจ้าของ ไมโครซอฟ ,โดนัล ทรัมพ์ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ระดับโลก หรือ สตีฟจ๊อบเจ้าของบริษัทแอปเปิล หรือผู้นำในธุรกิจ เครือข่าย ผู้ที่เป็นพ่อทีม แม่ทีม ในธุรกิจต่างๆ ที่สร้างรายได้มหาศาล ซึ่งในมุมของโลกธุรกิจเครือข่าย แล้ว 95 % ของคนที่จะเข้าร่วมธุรกิจนั้นหรือ จะกลัวการ สมัครคน หรือ ขายสินค้า หรือการต้องโทรติดต่อคนก็ดี เพราะไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ และสำหรับนักธุรกิจมือใหม่จะสูญเสียความมั่นใจ หลังจากที่ถูกปฎิเสธจากผู้มุ่งหวังสัก 5- 10 ครั้ง และจะสูญเสียความต้องการทำธุรกิจหลังจากที่ถูกปฎิเสธอย่างต่อเนื่อง  ความต้องการยกย่องนับถือจากผู้อื่น ( Esteem from other Needs ) คือ ความต้องการกียรติยศ ชื่อเสียง ได้รับการชม

เชย การยอมรับจากสังคม การยกย่องจากผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ
หลังจากการ ทำงานอย่างพากเพียรนั้น เป็นดั่งยาวิเศษ ที่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นเฟ้นขึ้น หรือสร้างความเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวบุคคลให้สูงขึ้น

5. ความต้องการที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ( Self-Actualization Needs ) เป็นความต้องการขั้นสูงสุดที่เกิดขึ้น เมื่อความขั้นตอนพื้นฐานที่กล่าวมาแล้วถูกเติมเต็ม มนุษย์ปรารถนาที่จะเข้าใจตัวเองมากกว่าสิ่งใดสนใจในเรื่องของตนเอง มา

กกว่าสิ่งใดในโลก มนุษย์อาจใช่เวลาทั้งชีวิต สูญเสียเงินทองมากมาย เพียงเพื่อค้นหาว่าตัวเองต้องการอะไร และการได้ลิม้รสชาติแห่งความสุขที่ได้รับซึ่งความเข้าใจในตนเองอย่างแท้จริงคือ การเติมเต็มความปราถนาในทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งต้องการ และการบรรลุถึงจุดสูงสสุดแห่งศักยภาพของตนเอง อย่างเช่นศิลปินที่สร้างผลงานไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อได้รับผลงานที่ดีที่สุด หรือนักกีฬาที่แย่งกันเอเป็นที่ 1 หรือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่ทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อต้องการเป็นคนที่รวยที่สุด ทั้งที่มีทรัพย์สินมากที่สุด ความเข้าใจตัวเอง เป็นบริบทหนึ่งของการสร้างความสบูรณ์ที่สุดของชีวิตคนๆ หนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งการเติมเต็มความต้องการนี้ในการทำธุรกิจเครือข่ายก็จะเป็นการช่วยเหลือ แนะนำวิธีการทำธุรกิจที่ถูกต้อง หรือช่วยดาวไลน์ หรือผู้ที่อยู่ในสายงานสปอนเซอร์ค

นได้  สิ่งที่ทำให้นักธุรกิจเครือข่ายล้มเหลวในการสปอนเซอร์คนคือ ตอบไม่ตรงคำถามที่ผู้มุ่งหวังอยากจะรู้ หรือไม่ตอบสนองความต้องการของผู้มุ่งหวัง เพราะต้องการเพียงจะขายโอกาสทางธุรกิจของตัวเอง เพื่อตอบสนองแต่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น

ดังนั้น นับจากนี้ไป ดิฉันเชื่อว่า เพื่อความสำเร็จในการสปอนเซอร์ผู้มุ่งหวังให้เป็นนักธุรกิจเครือข่าย, นักธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์, นักธุรกิจขายตรงทั่วไป...ที่ผู้มุ่งหวังแย่งกันเข้าร่วมธุรกิจด้วย "จงเรียนรู้วิธีการเข้าถึงความต้องการของบุคคลที่ท่านติดต่อ ด้วยการเติมเต็มสิ่งที่เขาต้องการได้มากกว่าสิ่งที่เราต้องการให้ " โชคดีค่ะ